สหภาพยุโรปอนุญาตสารเสริมในอาหารสัตว์
Featured Image by Olga Lioncat under Pexels license
Commission Implementing Regulation (EU) 2020/1363 ว่าด้วย การอนุญาตให้ Bacillus amyloliquefaciens DSM 25840 เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ ใน EU Official Journal L 317/10 โดยมีรายละเอียดดังนี้คณะกรรมาธิการยุโรปเห็นชอบให้ Bacillus amyloliquefaciens DSM 25840 เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ (feed additive) ภายใต้กลุ่ม zootechnical additives เพื่อช่วยควบคุมเชื้อในกระเพาะ (gut flora stabilisers) และอนุญาตให้ใช้กับสุกรทุกชนิด เป็นระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่วันที่กฎระเบียบฯ มีผลบังคับใช้ ไปจนถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2573 เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพสัตว์ ความปลอดภัยของผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม สารดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงจากการใช้งาน ผู้ใช้งานจึงควรสวมใส่ชุดป้องกัน คณะกรรมาธิการกำหนดให้ใช้สารเสริมดังกล่าวขั้นต่ำสุดที่ปริมาณ 5 x 108 CFU/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) และให้ใช้ผสมในน้ำดื่มสำหรับสัตว์ ขั้นต่ำสุดที่ปริมาณ 1,7 x 108 CFU/ลิตรของน้ำดื่ม กฎระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ 20 วัน หลังจากที่ประกาศใน EU Official Journal (ประกาศ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2563) ทั้งนี้ รายละเอียดของกฎระเบียบดังกล่าว สามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ ดังนี้ https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/PDF/?uri=CELEX:32020R1363&from=EN Commission Implementing Regulation (EU) 2020/1370 ว่าด้วย การอนุญาตให้ lanthanide citrate เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ ใน EU Official Journal L 319/5 โดยมีรายละเอียดดังนี้คณะกรรมาธิการยุโรปเห็นชอบให้ lanthanide citrate เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ (feed additive) ภายใต้ภายใต้กลุ่ม zootechnical additives เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของพารามิเตอร์ (improvement of performance parameters) และอนุญาตให้ใช้กับลูกสุกรหย่านม เป็นระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่วันที่กฎระเบียบฯ มีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2573 เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพสัตว์ ความปลอดภัยของผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม สารดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงจากการใช้งาน ผู้ใช้งานจึงควรสวมใส่ชุดป้องกัน คณะกรรมาธิการกำหนดให้ใช้สารเสริมดังกล่าวขั้นต่ำสุดและขั้นสูงสุดไม่เกิน 250 มิลลิกรัมของสาร/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) กฎระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ 20 วัน หลังจากที่ประกาศใน EU Official Journal (ประกาศ ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2563) ทั้งนี้ รายละเอียดของกฎระเบียบดังกล่าว สามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ ดังนี้ https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/PDF/?uri=CELEX:32020R1370&from=EN Commission Implementing Regulation (EU) 2020/1371 ว่าด้วย การอนุญาตให้ preparation of endo-1,4-beta-xylanase และ endo-1,4-beta-glucanase เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ ใน EU Official Journal L 319/8 โดยมีรายละเอียดดังนี้คณะกรรมาธิการยุโรปเห็นชอบให้ preparation of endo-1,4-beta-xylanase และ endo-1,4-beta-glucanase เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ (feed additive) ภายใต้กลุ่ม zootechnical additives เพื่อช่วยระบบย่อยอาหาร (digestibility enhancers) และอนุญาตให้ใช้กับสุกรเพศเมียที่กำลังให้นม เป็นระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่วันที่กฎระเบียบฯ มีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2573 เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพสัตว์ ความปลอดภัยของผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม คณะกรรมาธิการยุโรปอนุญาตให้ใช้สารเสริมดังกล่าวในระดับต่ำสุดไม่เกิน 560 TXU และ 250 TGU หน่วยกิจกรรม/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) อย่างไรก็ตาม สารดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงจากการใช้งาน ผู้ใช้งานจึงควรสวมใส่ชุดป้องกัน กฎระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ 20 วัน หลังจากที่ประกาศใน EU Official Journal (ประกาศ ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2563) ทั้งนี้ รายละเอียดของกฎระเบียบดังกล่าว สามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ ดังนี้ https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/PDF/?uri=CELEX:32020R1371&from=EN Commission Implementing Regulation (EU) 2020/1372 ว่าด้วย การอนุญาตให้ L-tryptophan ที่ผลิตโดย Escherichia coli CGMCC 7.267, CGMCC 11 674 หรือ KCCM 10 534 เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ ใน EU Official Journal L 319/11 โดยมีรายละเอียดดังนี้คณะกรรมาธิการยุโรปเห็นชอบให้ L-tryptophan ที่ผลิตโดย Escherichia coli CGMCC 7.267, CGMCC 11 674 หรือ KCCM 10 534 เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ (feed additive) ภายใต้กลุ่มสารเสริมทางโภชนาการ (nutritional additives) โดยมีหน้าที่เป็น ‘amino acids, their salt and analogues’ เป็นแหล่งกรดอะมิโน L-tryptophan ซึ่งมีประสิทธิภาพในการช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพในกระเพาะรูเมนในสัตว์เคี้ยวเอื้อง และอนุญาตให้ใช้กับสัตว์ทุกชนิด เป็นระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่วันที่กฎระเบียบฯ มีผลบังคับใช้ ไปจนถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2573 เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพสัตว์ ความปลอดภัยของผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม สารดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงจากการใช้งาน ผู้ใช้งานจึงควรสวมใส่ชุดป้องกัน กฎระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ 20 วัน หลังจากที่ประกาศใน EU Official Journal (ประกาศ ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2563) ทั้งนี้ รายละเอียดของกฎระเบียบดังกล่าว สามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ ดังนี้ https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/PDF/?uri=CELEX:32020R1372&from=EN Commission Implementing Regulation (EU) 2020/1373 ว่าด้วย การอนุญาตให้ zinc chelate of lysine และ glutamic acid เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ ใน EU Official Journal L 319/15 โดยมีรายละเอียดดังนี้คณะกรรมาธิการยุโรปเห็นชอบให้ zinc chelate of lysine และ glutamic acid เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ (feed additive) ภายใต้กลุ่มสารเสริมทางโภชนาการ (nutritional additives) โดยมีหน้าที่เป็น ‘compounds of trace elements’ เป็นแหล่งสังกะสีที่มีประสิทธิภาพ และอนุญาตให้ใช้กับสัตว์ทุกชนิด เป็นระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่วันที่กฎระเบียบฯ มีผลบังคับใช้ ไปจนถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2573 เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพสัตว์ ความปลอดภัยของผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม สารดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงจากการใช้งาน ผู้ใช้งานจึงควรสวมใส่ชุดป้องกัน คณะกรรมาธิการกำหนดให้ใช้สารเสริมดังกล่าวขั้นสูงสุดในสัตว์ต่างๆ ดังนี้(1) สุนัขและแมว ไม่เกิน 200 (ปริมาณรวม) องค์ประกอบ (Zn) ในมิลลิกรัมของสาร/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) (2) ปลาซัลมอนและนมเทียมสำหรับลูกวัว ไม่เกิน 180 (ปริมาณรวม) องค์ประกอบ (Zn) ในมิลลิกรัมของสาร/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) (3) ลูกสุกร สุกรเพศเมีย กระต่าย และปลาทุกชนิด นอกเหนือจากปลาซัลมอน ไม่เกิน 150 (ปริมาณรวม) องค์ประกอบ (Zn) ในมิลลิกรัมของสาร/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) (4) สัตว์สายพันธุ์อื่นๆ และประเภทอื่นๆ ไม่เกิน 120 (ปริมาณรวม) องค์ประกอบ (Zn) ในมิลลิกรัมของสาร/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) กฎระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ 20 วัน หลังจากที่ประกาศใน EU Official Journal (ประกาศ ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2563) ทั้งนี้ รายละเอียดของกฎระเบียบดังกล่าว สามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ ดังนี้ https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/PDF/?uri=CELEX:32020R1373&from=EN Commission Implementing Regulation (EU) 2020/1375 ว่าด้วย การอนุญาตให้ preparation of citric acid, sorbic acid, thymol และ vanillin เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ ใน EU Official Journal L 319/22 โดยมีรายละเอียดดังนี้คณะกรรมาธิการยุโรปเห็นชอบให้ preparation of citric acid, sorbic acid, thymol และ vanillin เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ (feed additive) ภายใต้กลุ่ม zootechnical additives เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของพารามิเตอร์ (improvement of performance parameters) และอนุญาตให้ใช้กับลูกสุกรเพื่อหัน (suckling piglet) ไก่งวงเพื่อขุน และไก่งวงเลี้ยงเพื่อผสมพันธุ์ เป็นระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่วันที่กฎระเบียบฯมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2573 เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพสัตว์ ความปลอดภัยของผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม คณะกรรมาธิการยุโรปอนุญาตให้ใช้สารเสริมดังกล่าวในระดับ ดังนี้(1) ลูกสุกรเพื่อหัน ระดับต่ำสุดไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมของสาร/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) (2) ไก่งวงเพื่อขุน และไก่งวงเลี้ยงเพื่อผสมพันธุ์ ระดับต่ำสุดไม่เกิน 200 มิลลิกรัมของสาร/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) อย่างไรก็ตาม สารดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงจากการใช้งาน ผู้ใช้งานจึงควรสวมใส่ชุดป้องกัน กฎระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ 20 วัน หลังจากที่ประกาศใน EU Official Journal (ประกาศ ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2563) ทั้งนี้ รายละเอียดของกฎระเบียบดังกล่าว สามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ ดังนี้ https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/PDF/?uri=CELEX:32020R1375&from=EN Commission Implementing Regulation (EU) 2020/1376 ว่าด้วย การอนุญาตให้ preparation of 6-phytase ที่ผลิตโดย Komagataella phaffii (CGMCC 12056) เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ ใน EU Official Journal L 319/26 โดยมีรายละเอียดดังนี้คณะกรรมาธิการยุโรปเห็นชอบให้ preparation of 6-phytase ที่ผลิตโดย Komagataella phaffii (CGMCC 12056) เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ (feed additive) ภายใต้กลุ่ม zootechnical additives เพื่อช่วยระบบย่อยอาหาร (digestibility enhancers) และอนุญาตให้ใช้กับไก่งวงเพื่อขุน ไก่งวงเลี้ยงเพื่อผสมพันธุ์ ลูกสุกร (เพื่อหันและระยะหย่านม) สุกรวัยเยาว์ (เพื่อหันและระยะหย่านม) เป็นระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่วันที่กฎระเบียบฯ มีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2573 เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพสัตว์ ความปลอดภัยของผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม คณะกรรมาธิการยุโรปอนุญาตให้ใช้สารเสริมดังกล่าวดังกล่าวในระดับ ดังนี้(1) ไก่งวงเพื่อขุน และไก่งวงเลี้ยงเพื่อผสมพันธุ์ ระดับต่ำสุดไม่เกิน 250 U หน่วยกิจกรรม/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) (2) ลูกสุกร (เพื่อหันและระยะหย่านม) และสุกรวัยเยาว์ (เพื่อหันและระยะหย่านม) ระดับต่ำสุดไม่เกิน 1,000 U หน่วยกิจกรรม/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) อย่างไรก็ตาม สารดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงจากการใช้งาน ผู้ใช้งานจึงควรสวมใส่ชุดป้องกัน กฎระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ 20 วัน หลังจากที่ประกาศใน EU Official Journal (ประกาศ ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2563) ทั้งนี้ รายละเอียดของกฎระเบียบดังกล่าว สามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ ดังนี้ https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/PDF/?uri=CELEX:32020R1376&from=EN Commission Implementing Regulation (EU) 2020/1377 ว่าด้วย การอนุญาตให้ preparation of endo-1,4-beta-xylanase ที่ผลิตโดย Bacillus subtilis (LMG S-15136) เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ ใน EU Official Journal L 319/29 โดยมีรายละเอียดดังนี้คณะกรรมาธิการยุโรปเห็นชอบให้ preparation of endo-1,4-beta-xylanase ที่ผลิตโดย Bacillus subtilis (LMG S-15136) เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ (feed additive) ภายใต้กลุ่ม zootechnical additives เพื่อช่วยระบบย่อยอาหาร (digestibility enhancers) และอนุญาตให้ใช้กับลูกสุกรเพื่อหัน สุกรวัยเยาว์นอกเหนือจากสัตว์เจริญพันธุ์ เป็นระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่วันที่กฎระเบียบฯ มีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2573 เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพสัตว์ ความปลอดภัยของผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม คณะกรรมาธิการยุโรปอนุญาตให้ใช้สารเสริมดังกล่าวดังกล่าวในระดับต่ำสุดไม่เกิน 10 IU หน่วยกิจกรรม/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) อย่างไรก็ตาม สารดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงจากการใช้งาน ผู้ใช้งานจึงควรสวมใส่ชุดป้องกัน กฎระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ 20 วัน หลังจากที่ประกาศใน EU Official Journal (ประกาศ ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2563) ทั้งนี้ รายละเอียดของกฎระเบียบดังกล่าว สามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ ดังนี้ https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/PDF/?uri=CELEX:32020R1377&from=EN Commission Implementing Regulation (EU) 2020/1378 ว่าด้วย การอนุญาตให้ copper chelate of lysine และ glutamic acid เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ ใน EU Official Journal L 319/32 โดยมีรายละเอียดดังนี้คณะกรรมาธิการยุโรปเห็นชอบให้ copper chelate of lysine และ glutamic acid เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ (feed additive) ภายใต้กลุ่มสารเสริมทางโภชนาการ (nutritional additives) โดยมีหน้าที่เป็น ‘compounds of trace elements’ เป็นแหล่งทองแดงที่มีประสิทธิภาพ และอนุญาตให้ใช้กับสัตว์ทุกชนิด เป็นระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่วันที่กฎระเบียบฯมีผลบังคับใช้ ไปจนถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2573 เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพสัตว์ ความปลอดภัยของผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม สารดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงจากการใช้งาน ผู้ใช้งานจึงควรสวมใส่ชุดป้องกัน คณะกรรมาธิการกำหนดให้ใช้สารเสริมดังกล่าวขั้นสูงสุดในสัตว์ต่างๆ ดังนี้(1) วัว (ก่อนเริ่มเคี้ยวเอื้อง) สูงสุดไม่เกิน 15 (ปริมาณรวม) องค์ประกอบ (Cu) ในมิลลิกรัมของสาร/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) (2) วัวอื่น ๆ สูงสุดไม่เกิน 30 (ปริมาณรวม) องค์ประกอบ (Cu) ในมิลลิกรัมของสาร/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) (3) แกะ สูงสุดไม่เกิน 15 (ปริมาณรวม) องค์ประกอบ (Cu) ในมิลลิกรัมของสาร/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) (4) แพะ สูงสุดไม่เกิน 35 (ปริมาณรวม) องค์ประกอบ (Cu) ในมิลลิกรัมของสาร/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) (5) ลูกสุกรเพื่อหันและหย่านมแล้ว 4 สัปดาห์ขึ้นไป สูงสุดไม่เกิน 150 (ปริมาณรวม) องค์ประกอบ (Cu) ในมิลลิกรัมของสาร/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) (6) ลูกสุกรเพื่อหันและหย่านมแล้ว 5-8 สัปดาห์ขึ้นไป สูงสุดไม่เกิน 150 (ปริมาณรวม) องค์ประกอบ (Cu) ในมิลลิกรัมของสาร/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) (7) ครัสเตเชียน สูงสุดไม่เกิน 50 (ปริมาณรวม) องค์ประกอบ (Cu) ในมิลลิกรัมของสาร/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) (8) สัตว์อื่น ๆ สูงสุดไม่เกิน 25 (ปริมาณรวม) องค์ประกอบ (Cu) ในมิลลิกรัมของสาร/กิโลกรัมของอาหารสัตว์ (ที่มีความชื้นร้อยละ 12) กฎระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ 20 วัน หลังจากที่ประกาศใน EU Official Journal (ประกาศ ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2563) ทั้งนี้ รายละเอียดของกฎระเบียบดังกล่าว สามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ ดังนี้ https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/PDF/?uri=CELEX:32020R1378&from=EN Commission Implementing Regulation (EU) 2020/1379 ว่าด้วย การอนุญาตให้ L-cystine ที่ผลิตโดย Pantoea ananatis NITE BP-02525 เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ ใน EU Official Journal L 319/ 36 โดยมีรายละเอียดดังนี้คณะกรรมาธิการยุโรปเห็นชอบให้ L-cystine ที่ผลิตโดย Pantoea ananatis NITE BP-02525 เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์ (feed additive) ภายใต้กลุ่มสารเสริมทางโภชนาการ (nutritional additives) และภายใต้กลุ่มสารเสริมทางประสาทสัมผัส (sensory additives) โดยมีหน้าที่เป็นสารแต่งกลิ่น (flavouring compounds) เป็นแหล่งกรดอะมิโน L-cystine ซึ่งมีประสิทธิภาพในการช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพในกระเพาะรูเมนในสัตว์เคี้ยวเอื้อง และอนุญาตให้ใช้กับสัตว์ทุกชนิด เป็นระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่วันที่กฎระเบียบฯ มีผลบังคับใช้ ไปจนถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2573 เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพสัตว์ ความปลอดภัยของผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม สารดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงจากการใช้งาน ผู้ใช้งานจึงควรสวมใส่ชุดป้องกัน กฎระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ 20 วัน หลังจากที่ประกาศใน EU Official Journal (ประกาศ ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2563) ทั้งนี้ รายละเอียดของกฎระเบียบดังกล่าว สามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ ดังนี้ https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/PDF/?uri=CELEX:32020R1379&from=EN